วันนี้ทีมงานชิควาไรตี้นำสาระดีๆมาฝากเกี่ยว ผักที่เรารู้จัก คุ้นเคยที่จะนำมากินหรือประกอบอาหารนั้น มีอยู่มากมายหลายชนิดด้วยกัน และวิธีการน...
วันนี้ทีมงานชิควาไรตี้นำสาระดีๆมาฝากเกี่ยว ผักที่เรารู้จัก คุ้นเคยที่จะนำมากินหรือประกอบอาหารนั้น มีอยู่มากมายหลายชนิดด้วยกัน และวิธีการนำมาทานก็แตกต่างกัน บางชนิดนิยมทานสดๆ คู่กับน้ำพริก บางชนิดนิยมมาทำแกง ผัด ยำ หรือเมนูต่างๆ ก็ตามแต่ ผักทุกชนิดนั้นมีประโยชน์มากมาย แต่หากว่าเรากินผักไม่ถูกวิธี แทนที่จะเป็นประโยชน์ก็อาจจะกลายเป็นโทษไปก็ได้ อย่างเช่นการกินผักดิบ มีผักบางชนิดที่เราไม่ควรทานดิบ เพราะอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพได้ ดังนี้

นอกจากนี้ในกะหล่ำปลีดิบยังมีสารกอยโตรเจน (Goitrogen) สารที่ยับยั้งการสร้างฮอร์โมนของต่อมไทรอยด์ ทำให้ร่างกายดึงไอโอดีนจากเลือดไปใช้ได้น้อยกว่าปกติ จนอาจก่อให้เกิดโรคคอหอยพอกได้ แต่กอยโตรเจนจะสลายได้อย่างรวดเร็วเมื่อโดนความร้อน ฉะนั้นจึงควรบริโภคกะหล่ำปลีแบบปรุงสุกจะดีกว่า
2. ดอกกะหล่ำ

3. บรอกโคลี

มาตระกูลเดียวกันกับกะหล่ำปลีและดอกกะหล่ำเลย บรอกโคลีมีน้ำตาลที่ควรต้องถูกย่อยด้วยความร้อนก่อนจึงจะไม่ก่อให้เกิดอาการท้องอืด และในบรอกโคลีดิบยังมีฮอร์โมนบางชนิดที่เป็นตัวกระตุ้นความเสี่ยงโรคไทรอยด์ แต่เจ้าฮอร์โมนที่ว่าจะถูกย่อยสลายไปเมื่อโดนความร้อน ดังนั้นบรอกโคลีจึงจัดเป็นผักอีกชนิดที่กินดิบมาก ๆ อาจก่อให้เกิดโทษได้
4. ถั่วฝักยาว
ถั่วฝักยาวดิบจะมีปริมาณไกลโคโปรตีนและเลคตินค่อนข้างสูง ซึ่งสารเหล่านี้มีส่วนชักนำอาการคลื่นไส้ อาเจียน และอาการท้องเสียได้ในเวลา 3 ชั่วโมงหลังรับประทานถั่วดิบ ๆ เข้าไป ซึ่งทางองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกายังออกมาเตือนอีกด้วยว่า ไม่ใช่เค่ถั่วฝักยาวเท่านั้นที่กินดิบ ๆ แล้วอาจให้โทษ ทว่าถั่วแดงหรือถั่วดำก็ไม่ควรกินดิบด้วยเช่นกัน ไม่อย่างนั้นอาจทำให้ไม่สบายได้นะจ๊ะ
5. ถั่วงอก
ผักกินสดฮอตฮิตอันดับต้น ๆ อย่างถั่วงอกมักจะมีสารโซเดียมซัลไฟต์ ซึ่งเป็นสารฟอกขาวที่เหล่าพ่อค้า แม่ค้ามักจะนำมาฟอกสีให้ถั่วงอกมีสีขาวน่ารับประทาน อีกทั้งยังเป็นสารที่รักษาความสดของถั่วงอกให้เก็บไว้ขายได้นาน ซึ่งหากผู้บริโภคมีอาการแพ้สารชนิดนี้ หรือกินถั่วงอกดิบในปริมาณมาก ทางศูนย์ข้อมูลพิษวิทยา กระทรวงสาธารณสุข ก็บอกว่าอาจทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ หายใจขัด ความดันโลหิตต่ำ และปวดท้องได้ แต่ถ้าหากนำถั่วงอกไปปรุงสุกก็จะช่วยทำลายสารฟอกขาวได้จนไม่ก่อให้เกิดอันตรายค่ะ
6. หน่อไม้
ศูนย์ข้อมูลด้านอาหาร กระทรวงสาธารณสุข ชี้แจงว่า ในหน่อไม้สดมี Cyanogenic glycoside ซึ่งสามารถเปลี่ยนเป็นไซยาไนด์ อันมีพิษต่อร่างกาย และหากร่างกายได้รับสารตัวนี้ในปริมาณมาก Cyanogenic glycoside จะเข้าไปจับกับฮีโมโกลบิน ทำให้เกิดอาการขาดออกซิเจน ทุรนทุราย หมดสติ และอาจเสียชีวิตได้ ดังนั้นทางกระทรวงสาธารณสุขจึงแนะนำให้ปรุงสุกหน่อไม้หรือนำหน่อไม้ไปดอง (ซึ่งต้องผ่านการต้ม) ก่อนรับประทาน เพราะวิธีการปรุงสุกด้วยความร้อนจะช่วยสลาย Cyanogenic glycoside ได้
7. มันสำปะหลัง
Cyanogenic glycoside สารตัวนี้ยังตามมาหลอกหลอนในมันสำปะหลังด้วย ซึ่งทางสำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค ได้บอกว่า หากรับประทานมันสำปะหลังดิบในส่วนหัว ราก ใบ อาจมีพิษทำให้ถึงตายได้ โดยมีพิษขัดขวางการทำงานของระบบหัวใจและทางเดินโลหิต ทำให้ออกซิเจนเข้าสู่เซลล์สมองน้อยลง หรือเบาะ ๆ อาจเกิดอาการเวียนศีรษะ ปวดหัว ปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน หรืออุจจาระร่วง
8. ผักโขม
ผักใบเขียวขจีอย่างผักโขมดิบ ๆ มีกรดออกซาลิก (Oxalic) ที่มีฤทธิ์ทำให้ลำไส้ระคายเคือง แถมยังเป็นตัวขัดขวางไม่ให้ร่างกายดูดซึมธาตุเหล็กและแคลเซียม ซึ่งอาจเป็นสาเหตุของโรคนิ่วในไตอีกทางหนึ่งได้ด้วย ทว่าเจ้ากรดออกซาลิกตัวนี้จะหมดฤทธิ์ทันทีเมื่อเจอความร้อน ซึ่งก็หมายความว่าเราควรปรุงผักโขมให้สุกก่อนนำมารับประทานนั่นเองนะคะ
9. เห็ด
เห็ดสดที่มีเนื้อสีขาวทั่วไปมักจะตรวจพบสารอะการิทีน (Agaritine) ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งชนิดหนึ่ง แต่จะสลายไปได้เองหากเห็ดเหล่านั้นผ่านการปรุงสุกแล้ว
อย่างไรก็ดี ขอย้ำกันอีกทีว่าผักเหล่านี้ไม่ใช่ผักต้องห้าม แต่ควรจำกัดปริมาณการบริโภคผักดิบไม่ให้กินเยอะครั้งละเป็นกิโลกรัม หรือรับประทานต่อเนื่องกันทุกวัน ๆ จนเกิดการสะสมของสารที่เป็นโทษต่างหากนะคะ
Cr: chicvariety.com
COMMENTS